พิเศษ
เจียจันทร์พงษ์
ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ
ประจำกรมศิลปากร
-
การสร้างอนุสาวรีย์
เพื่อระลึกถึงผู้ตาย
ของคนไทยสมัยโบราณ
จะไม่สร้างเป็นเจดีย์โดด ๆ
แต่จะสร้างเป็นวัด
ซึ่งประกอบไปด้วย โบสถ์ เจดีย์ วิหาร ศาลา ฯลฯ
-
พระราชพงศาวดาร
ฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ, คำให้การชาวกรุงเก่า และ คำให้การขุนหลวงหาวัด
ไม่ได้กล่าวถึงการที่
สมเด็จพระนเรศวรมหาราช
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้สร้างเจดีย์ยุทธหัตถี
แต่อย่างใด
-
เอกสารของชาวต่างประเทศ
ที่เขียนถึงเจดีย์ยุทธหัตถีนั้น
ไม่น่าเชื่อถือ
เพราะผู้บันทึก
ได้รับข้อมูลมาจากคนไทย
ที่เล่าเรื่องในลักษณะตำนาน
ที่บอกเล่าต่อ ๆ กันมา
หลังจากสงครามยุทธหัตถี
นานถึง ๘๘ ปี
|
|
"ก่อนจะมาถกเถียงกันว่าเจดีย์ยุทธหัตถีอยู่ที่ไหน ต้องเริ่มต้นจากคำถามที่ว่า เจดีย์ยุทธหัตถีมีอยู่จริงหรือไม่เสียก่อน
ซึ่งจากการศึกษาเอกสารทางประวัติศาสตร์
และพิจารณาถึงแนวความคิดเรื่องการสร้างอนุสาวรีย์
ของคนไทยในสมัยโบราณแล้ว
ทำให้เชื่อว่าพระนเรศวร
ไม่ได้โปรดให้สร้างเจดีย์ยุทธหัตถีไว้
ตรงที่ทรงชนช้างชนะพระมหาอุปราชาแต่อย่างใด
"พระราชพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ
ซึ่งยอมรับกันโดยทั่วไป
ว่าเป็นพงศาวดารฉบับที่น่าเชื่อถือมากที่สุด
ก็บันทึกถึงแค่เรื่องพระนเรศวรชนช้างชนะ
พระมหาอุปราชาเท่านั้น ไม่ได้กล่าวถึงการสร้างเจดีย์ยุทธหัตถีไว้เลย ส่วน คำให้การขุนหลวงหาวัด และ คำให้การชาวกรุงเก่า ซึ่งเป็นคำบอกเล่าของเชลยไทยที่ไปอยู่พม่า
ก็เล่าแต่เรื่องการทำยุทธหัตถีของกษัตริย์ทั้งสองพระองค์ไว้
และจบลงที่พระมหาอุปราชาสิ้นพระชนม์เท่านั้น
"แม้แต่ในหนังสือ นิทานโบราณคดี ซึ่งเป็นพระนิพนธ์ของสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ
ที่เล่าเรื่องราวตอนที่พระยาสุพรรณบุรี
ไปสอบถามชาวสุพรรณบุรีเกี่ยวกับเจดีย์ร้างแห่งหนึ่ง
ซึ่งสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ เข้าใจว่าเป็นเจดีย์ยุทธหัตถีนั้น ปรากฏว่าไม่มีใครรู้เรื่องเจดีย์ยุทธหัตถีเลย
ชาวบ้านรู้แต่ว่าพระนเรศวรกับพระมหาอุปราชา
ชนช้างกันที่ตรงนั้นเท่านั้นเอง
"แสดงว่าเรื่องราวการทำสงครามยุทธหัตถี
เป็นเหตุการณ์ติดตรึงอยู่ในความทรงจำของคนไทยในสมัยต่าง ๆ มาโดยตลอด ตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช สมัยเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ จนกระทั่งถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
แต่น่าแปลกที่เรื่องเจดีย์ยุทธหัตถี
กลับไม่อยู่ในเอกสารเหล่านั้นเลย
ทั้ง ๆ ที่เป็นเรื่องราวต่อเนื่องกัน
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะ
ความจริงพระนเรศวรไม่เคยสร้างเจดีย์ยุทธหัตถีไว้นั่นเอง
"เรื่องที่พระนเรศวรโปรดให้สร้างเจดีย์สวมพระศพพระมหาอุปราชาไว้
ปรากฏอยู่แต่ในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา
กลุ่มที่ผมเรียกว่า "ฉบับพิสดาร"
คือ พงศาวดารที่มีการแต่งเรื่องเพิ่มเข้าไป มีการใช้ศิลปะทางภาษาที่ให้ภาพเกินจริง
พงศาวดารประเภทนี้
นับว่าเป็นวรรณกรรมอย่างหนึ่ง เช่น พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา, ฉบับพันจันทนุมาศ และฉบับสมเด็จพระพนรัตน์ วัดพระเชตุพน เป็นต้น ซึ่งต่างจากพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐฯ
ที่ย่อเรื่อง
และลำดับเวลาจากหนังสือในหอหลวง
มีความระมัดระวังในการใช้ภาษา
มิให้เกิดความลำเอียง จึงเป็นเอกสารที่เที่ยงตรงที่สุด
"เจดีย์ยุทธหัตถีที่พงศาวดารฉบับพิสดารเหล่านี้
กล่าวถึงมีลักษณะเป็นอนุสาวรีย์โดด ๆ
เหมือนกับอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
หรืออนุสาวรีย์สมัยใหม่อื่น ๆ
ซึ่งขัดแย้งกับแนวคิด
เรื่องการสร้างอนุสาวรีย์
เพื่อระลึกถึงเหตุการณ์
หรือบุคคลของคนไทยสมัยโบราณ
ที่นิยมสร้างเป็นวัด ไม่สร้างเป็นเจดีย์โดด ๆ เช่น
เจ้าสามพระยา
ถวายพระเพลิงเจ้าอ้ายพระยากับเจ้ายี่พระยา
ที่สิ้นพระชนม์จากการชนช้างกันแล้ว
สถาปนาตรงที่ถวายพระเพลิงขึ้นเป็นวัดราชบูรณะ ถือว่าทั้งวัดนี้เป็นอนุสาวรีย์
หรือการที่พระมหาจักรพรรดิสร้างวัดสวนหลวงสบสวรรค์ขึ้น
ในบริเวณที่ถวายพระเพลิงศพของพระสุริโยทัย
เพื่อเป็นที่ระลึกถึงเหตุการณ์ที่พระสุริโยทัยไสช้างเข้าไปช่วยพระองค์
ให้พ้นจากอันตราย
วัดสวนหลวงสบสวรรค์ทั้งวัด
ก็เป็นอนุสาวรีย์ เป็นต้น
"โดยสรุป การสร้างเจดีย์เดี่ยว ๆ โดด ๆ
อย่างเช่นเจดีย์ยุทธหัตถี
ตามที่พงศาวดารฉบับความพิสดารพูดถึงนั้น
ไม่เคยมีในประวัติศาสตร์ไทย
เจดีย์ยุทธหัตถีจึงไม่ใช่ของจริง
เพราะขัดกับแนวคิดเรื่องการสร้างอนุสาวรีย์
ของคนไทยโบราณ
เจดีย์ยุทธหัตถีที่สร้างไว้เป็นที่ระลึก
เหตุการณ์ที่พ่อขุนรามคำแหงสู้กับขุนสามชน เจ้าเมืองฉอด ก็ขัดกับแนวคิดดังกล่าวเช่นกัน และไม่มีหลักฐานใด ๆ ที่จะทำให้เชื่อได้เลยว่าเป็นเจดีย์ยุทธหัตถีจริง
"เราจึงจำเป็นต้องหาคำอธิบายว่า
เรื่องราวที่พระนเรศวรทรงสร้างเจดีย์ยุทธหัตถี
ครอบพระศพของพระมหาอุปราชา
บริเวณที่ทำสงครามกันนั้นเกิดขึ้นมาได้อย่างไร
ซึ่งผมเชื่อว่าผู้เรียบเรียงหรือเขียนพงศาวดาร
ที่พูดถึงเรื่องเจดีย์ยุทธหัตถีนั้น
ได้รับอิทธิพลมาจากวรรณกรรมลังกา
ซึ่งเป็นที่นิยมแพร่หลายในสมัยนั้น คือ หนังสือมหาวงศ์ (พงศาวดารของลังกา) และหนังสือเรื่อง รสวาหินี เนื่องจากมีอะไรหลาย ๆ อย่างคล้ายกับตำนานเรื่องเจดีย์ยุทธหัตถีมาก
วรรณกรรมลังกาทั้งสองเล่มนี้
เล่าถึงเรื่องที่พระเจ้าทุฏฐคามณิอภัย วีรบุรุษที่ชาวลังกายกย่องกันมาก ยกทัพไปปราบทมิฬซึ่งมาครอบครองสิงหล สุดท้ายพระเจ้าทุฏฐคามณิอภัยชนช้างชนะพระเจ้าเอเฬละของทมิฬ แล้วก็สร้างเจดีย์สวมพระศพให้
ประวัติของพระเจ้าทุฏฐคามณิอภัย
ก็คล้ายกับของพระนเรศวรมาก จึงเป็นไปได้ว่าคนเขียนพงศาวดารจะลอกเค้าโครงเรื่องมา
"ส่วนเอกสารของชาวต่างประเทศที่บันทึกไว้ว่า
พระนเรศวรทรงสร้างเจดีย์ยุทธหัตถีก็มีเพียงแค่ของ Dr. Engelbert Kaempfer
แพทย์ประจำคณะทูตเนเธอร์แลนด์
ที่เดินทางเข้ามายังกรุงศรีอยุธยา ซึ่งเขียนขึ้นหลังจากเหตุการณ์นานถึง ๘๘ ปี โดยบันทึกไว้ว่าพระเจดีย์ภูเขาทอง (จังหวัดพระนครศรีอยุธยา)
นั้นสร้างขึ้นไว้เป็นที่ระลึก
ที่ได้ชัยชนะแก่กษัตริย์หงสาวดี แต่อย่าลืมว่า Kaempfer ไม่ใช่คนที่รู้เห็นเหตุการณ์จริง เขาบันทึกสิ่งที่ได้ยินได้ฟังมาจากใครก็ไม่รู้
ซึ่งคงเป็นคนไทยที่บอกเล่าเรื่อง
ที่จำต่อ ๆ กันมา ถูกบ้างผิดบ้าง
ประวัติของเจดีย์ที่หมอรับรู้มา
จึงเป็นเพียงตำนานที่ควรได้รับการพิจารณาความหมายที่แท้จริง
ก่อนนำมาใช้เป็นข้อมูล
"ส่วนข้อมูลในสารานุกรมพม่าที่ระบุว่า ณ บริเวณที่พระมหาอุปราชาสิ้นพระชนม์
พระนเรศวรโปรดให้สร้างพระเจดีย์ขึ้นองค์หนึ่งนั้น
ก็ยังไม่ถือว่าเป็นข้อยุติทางประวัติศาสตร์ได้
เพราะสารานุกรมพม่า
เขียนขึ้นโดยนักวิชาการชาวพม่ารุ่นปัจจุบัน
ซึ่งอ้างอิงจากหลักฐานความเชื่อทางประวัติศาสตร์ของไทยอีกทีหนึ่ง ทั้งยังมีความสับสนอยู่มาก เช่น
ทางพม่ายังไม่ยอมรับด้วยซ้ำ
ว่าพระมหาอุปราชสิ้นพระชนม์จากของ้าว
ของสมเด็จพระนเรศวร แต่เขาบันทึกไว้ว่าถูกยิง
"อาจเป็นไปได้ว่าเจดีย์ยุทธหัตถีนี้ถูกอุปโลกน์ขึ้นมา
ในยุคของการสร้างชาติ ซึ่งก็มีประโยชน์มากสำหรับช่วงเวลานั้น แต่ตอนนี้หมดเวลาสำหรับการอุปโลกน์อย่างนั้นแล้ว
ตอนนี้เราอยู่ในยุคของการที่จะต้องใช้เหตุผล
และวิจารณญาณมาก ๆ
เจดีย์ยุทธหัตถีที่ดอนเจดีย์
ควรจะเป็นอนุสาวรีย์ที่คนไทยในสมัยปัจจุบันสร้างขึ้น
เพื่อรำลึกถึงวีรกรรมของบรรพบุรุษเท่านั้นก็พอแล้ว
"การที่คนไทยบางกลุ่มเชื่อเรื่องเจดีย์ยุทธหัตถีนั้น
สะท้อนให้เห็นว่าเป็นคนเชื่อ
และสรุปอะไรง่าย ๆ ซึ่งเป็นผลมาจากความล้มเหลวของระบบการศึกษาไทย
นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นลักษณะนิสัย
ที่ไม่ชอบเผชิญกับความจริง
ที่อาจเจ็บปวดบ้างก็ตาม
"คนดี ๆ ในยุคสมัยของเราที่สมควรจะยกย่องอย่างเช่น ดร. ป๋วย อึ๊งภากรณ์ หรือ ดร. ปรีดี พนมยงค์ ไม่มีแล้ว หรือบุคคลอื่น ๆ ที่ล้มหายตายไปในเหตุการณ์เดือนตุลาคม ๒๕๑๖, ๒๕๑๙ หรือพฤษภาคม ๒๕๓๕ ไม่มีแล้วหรือ ถึงต้องไปขุดโคตรเหง้าบรรพบุรุษของเราขึ้นมา ที่อันตรายก็คือ ผู้คนจะยิ่งเชื่อหนักขึ้น เมื่อตำนานเหล่านั้นออกมาจากปากของส่วนราชการ นำไปสู่การแห่กันสร้างอนุสาวรีย์ ผลิตวัตถุบูชา ปั๊มเหรียญขาย ฯลฯ เพื่อหาผลประโยชน์ทางธุรกิจ อย่างที่เกิดขึ้นกับอนุสาวรีย์อื่น ๆ อีกหลายแห่งในปัจจุบัน"
|